วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน...ชีวิตเด็กวัดตาก้อง


ชีวิตเด็กวัดตาก้อง


พ.ศ. ๒๔๗๗  ถึง พ.ศ. ๒๔๗๙  เป็นชีวิตเด็กวัด อาศัยพระ อาศัยข้าวสุกก้นบาตรพระกิน  อาหารก็กินจากที่พระฉันแล้ว  
อาหารมื้อเย็นคือข้าวเย็นและกับข้าวที่เก็บไว้จากอาหารเช้า  อาหารกลางวันของพระ  บางมื้ออาหารบูดข้าวบูด  ก็เอามาล้างน้ำกินแก้หิว  มันเป็นธรรมดา ไม่เห็นว่าจะผิดแปลกเลวทรามอะไร  เด็กวัดก็อยู่กันมาอย่างนี้
ตกกลางคืนก็นอนในกุฏิพระที่ห้องที่ว่าง นอนกับพื้นกระดาน ไม่มีเสื่อ ไม่มีผ้าห่มนอน ไม่มีมุ้งกางนอน ดูเหมือนไม่มีหมอนหนุนหัว  
ตื่นเช้าล้างหน้า บ้วนปาก  ไม่ได้แปรงฟัน เพราะไม่มีแปรงสีฟัน  ไม่มียาสีฟัน เรายังไม่รู้จักไม่เคยใช้กันเลย

คืนหนึ่งนอนฝันประหลาด ฝันว่าพ่อมาเยี่ยมที่วัด  ที่จริงพ่อแม่เอาสำรับกับข้าวมาถวายพระเสมอๆ เกือบทุกวัน  ก็เหมือนเอาอาหารมาส่งลูกชายด้วยนั่นแหละ  แต่คืนหนึ่งฝันว่าพ่อมาเยี่ยมที่วัดกับแม่ พ่อมานั่งอยู่ตรงหน้า นั่งร้องไห้น้ำตาไหล แล้วถามว่า
"พ่อตีเจ็บไหม"
"เจ็บ"
"พ่อขอโทษลูกด้วยนะ พ่อไม่อยากเฆี่ยนตีลูกหรอก เพราะพ่อเจ็บมากกว่าลูก  พ่อเฆี่ยนลูก แต่พ่อก็เจ็บด้วย  พ่อเฆี่ยนลูกเพราะพ่อกลัวลูกจะเหมือนพ่อ  ลูกรู้ไหมว่า พ่อไม่ได้เป็นเด็กวัด ไม่ได้เรียนหนังสือเลย  ชีวิตพ่อจึงตกต่ำยากจน  พ่อไม่อยากให้ลูกเหมือนพ่อ พ่ออยากให้ลูกเรียนหนังสือ ลูกจะได้มีชีวิตรุ่งเรืองกว่าพ่อ"
พ่อพูดไปก็ร้องไห้ไป
ข้าพเจ้าจึงร้องไห้ตามพ่อไปด้วย  แล้วก็ตื่นขึ้นมา ยังสะอึกสะอื้นอยู่   รู้สึกว่าเป็นความฝันที่แปลกประหลาด ไม่รู้ว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้าย  แล้วพ่อก็บอกว่า
"วงศ์สกุลของเรา ไม่ใช่วงศ์ไพร่ เป็นวงศ์ตระกูลเจ้านาย   ลูกมีเลือดผู้ดีมีสกุลสูง"

คำพูดของพ่อยังดังแว่วอยู่ในหู  เมื่อตื่นขึ้นมาไม่เข้าใจคำพูดของพ่อว่าหมายความว่าอะไร  นึกว่ามันเป็นความฝัน  แต่เป็นความฝันที่แจ่มใส ชัดแจ้งมากกว่าธรรมดา จึงจำได้ไม่ลืมเลยมาจนทุกวันนี้  
มันยังอยู่ในจิตสำนึกว่า เราจะต้องเป็นคนดี ไม่ทำบาปทำชั่ว ไม่พูดคำหยาบ ไม่ประพฤติเกะกะเกเร ไม่พูดจาโกหกใคร ไม่ลักขโมยของใคร 



วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน...วันพฤหัสบดี


วันพฤหัสบดี


วันนั้น วันพฤหัสบดี แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ  ตรงกับวันที่ ๑๐ พฤษภาคม  พ.ศ. ๒๔๗๗  (มารู้ภายหลัง)  
พ่อจัดพานแก้วสีขาว มีดอกไม้  ธูป เทียนใส่พาน  พาข้าพเจ้าเดินหันหน้าไปทางทิศใต้  แล้วย้อนมาทางทิศตะวันออกตามพิธีการของพ่อ  ซึ่งรู้ตำราเดินทางไปตามทิศมิให้ถูกทิศผีหลวงหลาวเหล็กตามตำราโบราณ  
เดินทางออกจากบ้านไปยังโรงเรียนวัดตาก้อง ซึ่งเรียนอยู่บนศาลาการเปรียญของวัด   ให้ไปนั่งคุกเข่าลงที่หน้าครูเกี่ยเม้ง ส่งพานให้ครู แล้วให้ไหว้ครอบครู  เป็นการฝากตัวเรียนหนังสือกับครูเป็นวันแรก  
เสร็จแล้วพาไปฝากกับหลวงพี่นิล อยู่อินทร์  ลูกชายของป้าชื่น อยู่อินทร์  พี่สาวของแม่ ซึ่งไปบวชอยู่วัดตาก้อง   มอบตัวลูกชายให้เป็นศิษย์วัดในวันนั้น ไม่ได้กลับบ้านเป็นการจากบ้านครั้งแรกในชีวิต  
นอนวัดคืนนั้น คิดถึงแม่มาก เช้าต้องเดินไปตามหลังพระออกบิณฑบาตตามหมู่บ้าน  ตกสายกินข้าวแล้ว  ต้องนั่งเรียนหนังสืออยู่กับพระ  และไปนั่งเรียนอยู่ที่ศาลาวัด  
ชั้นประถมปีที่ ๑ ครูเกี่ยเม้ง แซ่ลิ้ม เป็นครูประจำชั้น  อยู่มาได้ ๓ วัน  คิดถึงแม่มากเพราะไม่เคยจากแม่  จึงบอก ด.ช. เอื้อน โมอ่อน ศิษย์วัดด้วยกันว่า บอกหลวงพี่ด้วยว่าเราไปบ้านนะ  แล้วก็เดินทางกลับบ้าน
วันนั้นตอนเย็น  หลวงพี่นิลก็เดินมาถึงบ้าน  ถามหาว่า ไอ้เทพมาบ้านหรือเปล่า หายหน้ามาไม่บอกลา  เมื่อรู้ว่ามาอยู่บ้านจึงกลับวัด  
พอหลวงพี่นิลกลับวัดพ่อก็จับมาผูกมือโยง แล้วเอาเรียวไม้ไผ่มาเฆี่ยนก้น  เฆี่ยนไปก็สั่งสอนไปเป็นระยะๆ  สอนว่าอะไรมั่งก็จำไม่ได้ แต่กลัวไม้เรียวมาก  ร้องไห้โอดโอย  
แม่ยืนดูแล้วก็นั่งดูอยู่บนชาน มองดูลูกชายถูกพ่อเฆี่ยนอยู่ที่เชิงบันได  ไม่ได้ห้ามพ่อเลย เอาแม่เป็นที่พี่งไม่ได้เสียแล้ว  จึงได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญไป
พ่อเฆี่ยนเป็นพักๆ  เฆี่ยนแล้วหยุดสั่งสอน แล้วลงมือเฆี่ยนต่อ ไม่รู้ว่าถูกเฆี่ยนกี่สิบที เสร็จแล้วแม่ก็มาแก้มัดเอาไปอาบน้ำ  เอาไพลทาตรงที่ถูกเฆี่ยนเป็นผื่นแดงๆ  เสร็จแล้วพ่อก็เอาตัวไปส่งวัดอีก  
นับแต่นั้นมาก็เข็ด ไม่กล้าหนีวัดกลับบ้านอีกเลยจนตลอดพรรษา   หลวงพี่นิลลาสึกเมื่อปลายปี ก็มาอยู่กับหลวงพี่พล  หรุ่นมายแค ลูกชายป้าเตี้ยม และหลวงพี่เนือง หลวงพี่กุหลาบต่อไป  ตอนนี้มีพระหลายองค์อุปการะ  
จนถึงพ.ศ. ๒๔๗๘  ขึ้น ป.๒  ครูเด็กใช้ แซ่อึ้ง เป็นครูประจำชั้น   พ.ศ. ๒๔๗๙ ขึ้น ป.๓ ครูบุญมี เปาปราโมทย์  เป็นครูประจำชั้น  พ.ศ. ๒๔๘๐  ขึ้น ป.๔  ครูเง๊กเซ้ง แซ่อึ้ง เป็นครูประจำชั้น  
ครูเกี่ยเม้ง แซ่ลิ้ม มีความเมตตารักใคร่ จึงแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าโรงเรียนมีหน้าที่เรียกนักเรียนเข้าแถวหน้าศาลาวัดตอนเช้า  ตรวจแถวให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  แล้วร้องเพลงชาติ สวดมนต์  จนไอ้เด็กนักเรียนโค่งบางคนมันเกลียดน้ำหน้า เวลาเดินไปไหนมันก็เอาตีนมาขัดขาให้ล้มลง  แต่ไม่กล้าฟ้องครู กลัวมันจะต่อยเอา  
เพราะการเป็นหัวหน้านักเรียนนี้ ไม่ได้เลือกตั้ง  เป็นหัวหน้าโดยครูใหญ่แต่งตั้ง  โดยความเสน่หาของครูใหญ่  พวกนักเรียนตัวโตๆ  บางคนจึงเขม่นหมั่นไส้  มักจะแกล้งต่างๆ นานา เช่นวิ่งไปก็เอาขามาขัดให้หกล้ม 



วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน...ครูมาสำรวจเด็กเข้าเรียน


ครูมาสำรวจเด็กเข้าเรียน


      วันหนึ่ง  ครูใหญ่โรงเรียนวัดตาก้อง  ขี่จักรยานมาสำรวจเด็กเข้าเกณฑ์เรียนหนังสือ
     พ่อบอกให้พี่ละเอียด วิ่งหนีไปซ่อนตัวหลังบ้าน  แล้วบอกว่ามีลูกชายถึงเกณฑ์เข้าเรียนคนเดียว คือตัวข้าพเจ้า
     พ่อไม่ให้ลูกสาวคนโตเรียนหนังสือ พี่สาวจึงไม่ได้เรียนหนังสือ  จึงเป็นคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้  ทั้งที่เกิดในรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖  มีโรงเรียนประชาบาลแล้ว
    ต่อมาน้องสาวอีก ๒ คน จึงได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลวัดตาก้อง
แต่ ด.ญ.ทองอู่ น้องสาว เกิด พ.ศ. ๒๔๗๒  ได้เรียนหนังสือเพียง ป.๒ ก็ต้องออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา  ได้เรียนแต่ ด.ญ. ทองฟู น้องคนต่อไป  จนจบ ป.๔

   ครูที่มาสำรวจเด็กที่ว่านั้นคือ  ครูเกี่ยเม้ง แซ่ลิ้ม  ขี่จักรยานมา แต่งตัวลูกเสือ  ยังจำได้ติดตา   ต่อมาท่านเปลี่ยนชื่อเป็นไทยว่า นายวัฒนา  สุจริตจิตร   ท่านได้ลาออกจากครูไปเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย  จนในที่สุดได้เป็นนายอำเภอวิหารแดง  จังหวัดพิจิตร 





(ชีวประวัติ) "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน...สภาพข้างบ้านเกิด


สภาพข้างบ้านเกิด


ยังจำได้ติดตาติดใจในภาพบ้านเรือนและสภาพของสิ่งต่างๆ รอบบ้านเรือน
บริเวณบ้านตั้งอยู่ท่ามกลางพืชพันธุ์ในสวนร้างของคนจีนที่ขายที่ดินให้รวมประมาณ ๕๐ ไร่
ลุงมะลิ มุ้ยมี  ซื้อที่ดินทิศใต้  เนื้อที่ ๒๘ ไร่   พ่อซื้อที่ดินตรงกลางเนื้อที่ ๗ ไร่
ผู้ใหญ่ไพ่ อยู่อินทร์  ซื้อที่ดินทางทิศเหนือ ๑๕ ไร่   ต่อไปทางใต้สุดเนื้อที่นา  ๑๑ ไร่ ของยายยกให้แม่ข้าพเจ้า ยกให้ลุงไพ่  ๑๑  ไร่

บริเวณที่ มีพืชพันธ์ุต่างๆ  ขนุน, ฝรั่ง, มะกรูด, ขี้เหล็ก, ต้นปีบ, ต้นแจง, ต้นไผ่, มะขาม, มะขามเทศ, สะเดาจันพุทราละมุด,  มีกระทั่งต้นหว้า ส้มเสื้ยว ตะคร้อ ต้นทองหลาง ต้นทองกวาว ดอกแดงเหลืองอร่าม  ข้าพเจ้ารู้จักต้นไม้ต่างๆ มาแต่เด็กจนทั่วต้นไม้บริเวณนั้น

ทางทิศตะวันตกของบ้าน  มีทุ่งนา เรียกว่าทุ่งมดตะน้อย  เพราะมดตะน้อยชุม   มองจากหน้าบ้านฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น  เห็นต้นไม้รำไร  ในท้องทุ่งนาหน้าฝนเขียวชอุ่มด้วยต้นข้าว  มีน้ำขังเจิ่งนอง  มีฝูงปลาชุกชุม บางทีมันว่ายน้ำเข้ามาถึงหน้าบ้าน  แม่เคยไปตกปลา  ไม่นานก็ได้ปลาหมอมาแกงกิน  มีผักบุ้ง  ผักกะเฉด อยู่ในนา  หน้าแล้งท้องทุ่งเหลืองอร่ามด้วยรวงข้าวสุก

ทางด้านทิศตะวันออกของบ้านมีป่าละเมาะเรียกว่า  ไร่โรงหีบ  เคยเป็นโรงหีบอ้อยของเถ้าแก่คนจีน  ปลูกอ้อยเต็มพื้นที่ประมาณสัก ๒๐๐ ไร่  ต่อมาโรงหีบเลิกไป  มีแย้ ข้าพเจ้าเคยตามแม่ไปดักแย้ด้วย เคยไปปักครืนดักไก่ป่า  ละเมาะแห่งนี้  เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ในความรู้สึกสมัยเป็นเด็ก

ระหว่างบ้านกับป่าแห่งนี้มีถนนรถยนต์แล่นผ่านไปตลาดเกาะแรด  อำเภอบางเลน  เป็นถนนรถยนต์เอกชนของ หลวงวิจิตรพานิชการ ผ่านที่ดินหน้าบ้านไป  เขาจึงให้พ่อนั่งรถยนต์ฟรี
หลวงวิจิตรพานิชการ  เป็นพ่อค้าคนจีนไม่ใช่คนไทย   แต่มีตำแหน่งเป็นกรมการเมืองพิเศษ เรียกว่าเป็นหัวหน้าคนจีนในเมืองนครปฐม  เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ท่านตั้งให้เป็นหลวงวิจิตรพานิชการ  คนทั้งหลายเรียกว่า คุณหลวง



วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน...ชีวิตวัยเด็กบ้านนอก


ชีวิตวัยเด็กบ้านนอก


เป็นชีวิตเหมือนฝัน เป็นชีวิตที่รื่นรมย์ เป็นชีวิตที่ไม่มีความทุกข์ร้อน นอกจากที่โดนพ่อเฆี่ยนเอา  เฆี่ยนด้วยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ จำไม่ได้ แต่ถูกเฆี่ยนบ่อย  เฆี่ยนแล้วแม่จับไปอาบน้ำให้ เอาขมิ้นผงมาทาแผลผื่นแดงๆ ประคบและดินสอพองทาให้  แต่ตอนพ่อตีแม่ก็ไม่ห้าม

ชีวิตวันๆหนึ่ง ก็เล่นสนุกเพลิดเพลินไป
เรื่องที่เล่นคือเล่นฝน  เวลาฝนตกชอบออกไปตากฝน เล่นโคลน ที่น้ำฝนไหลจนดินกลายเป็นโคลน  
เล่นขายของกับเพื่อนเด็ก ลูกสาวพี่ปลดชื่อ เด็กหญิงปลิด เด็กหญิงเปลื้อง เล่นตั้งครอบครัวกันขายของกัน
เล่นเขียนหนังสือตามแผ่นดิน เป็นรูปต่างๆ สุดแล้วแต่จะเขียนได้ ชอบเขียนแผ่นดินมากที่สุด
ออกไปตกเบ็ดกับแม่ที่ทุ่งนา มีปลาหมอ ปลาช่อน  ไปปลูกข้าวโพดกับแม่ ไปดับแย้กับแม่ ไปหาหน่อไม้ที่ชายไร่นา ไปรับจ้างเขาเลี้ยงลูก ชื่อ เด็กชายช้อน ลูกพี่หมด  ได้ค่าจ้างเป็นกางเกงแพรเล็กๆ ๑ ตัว
สนุกสนานเพลิดเพลินไปวันๆ  ไม่รู้วันรู้คืน ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้เดือนรู้ปี ชีวิตเหมือนอยู่ในโลกของความฝัน
วันหนึ่งเล่นโคลนเวลาฝนตก ถือมีดปลายแหลมไว้มือหนึ่ง เกิดลื่นหกล้มลง มีดปลายแหลมทิ่มคอหอย แต่เลือดไม่ออก จึงขึ้นไปนั่งล้างโคลน พ่อเห็นเข้าจึงรู้ว่ามีดทิ่มคอเป็นแผล
วันหนึ่งเล่นขวานถากไม้ ถากขอนไม้เล่น ขวานเหวี่ยงเอานิ้วเท้าเป็นแผล เลือดไหลไม่หยุด แม่ร้องเสียงลั่นบ้าน  ชาวนาข้างบ้านต้องวิ่งมาคัดเลือดให้
คืนหนึ่งนอนละเมอ ลุกขึ้นมาจับแมวตัวหนึ่ง เดินข้ามพ่อ ซึ่งนอนอยู่ห่างสักหน่อย   พ่อเอะใจ  ลุกขึ้นมาจับแขนคว้าไว้ได้ ไม่ตกเรือนลงมาคอหักตาย
คืนหนึ่งฝันว่าตกเหวลงไป จึงร้องเอะอะขึ้นมา  ปรากฎว่า ตัวลงไปโหนร่องแร่งอยู่  มือยังจับกระดานเรือนไว้ได้  พ่อต้องไปรับมาขึ้นเรือน  พ่อไม่เชื่อว่าละเมอ หาว่าเราแกล้งห้อยโหนลงไปเล่น
คราวหนึ่งไปหาหน่อไม้ในชายป่า พบมีดมีสีแดงเกรอะกรังอยู่ นึกว่าเปื้อนเลือด จึงมาหาพ่อว่ามีดเปื้อนเลือด  พ่อไปดูก็บอกว่าสนิมมีดสีแดง ไม่ใช่เลือดคน

ต่อมาพ่อก็สอนหนังสือ ก.ขอ ก.กา ให้  จึงเริ่มเรียนหนังสือจากพ่อ พออ่านตัว ก. ถึง ฮ. ได้ กับผสมคำได้เล็กน้อย

ข้าพเจ้าเป็นลูกชายคนเดียว แม่จึงรักมากกว่าคนอื่นๆ  แม่ไม่เคยดุไม่เคยตีเลย  ไปไหนก็เอาติดก้นไปด้วยเสมอ  ข้าพเจ้าจึงกลายเป็นเด็กติดแม่มาก
คราวหนึ่งแม่เดินทางข้ามทุ่งน้อยไปเยี่ยมย่าที่นครไชยศรี  เดินไปด้วยเท้าเปล่า ข้ามทุ่งนาที่มีต้นโตนดมาก มีงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านหน้า แม่ก็รีบไปเดินหน้า  ถือเคล็ดว่างูเดินผ่านหน้าไม่ดี  พอถึงบ้านย่า หมาไล่กัดแม่จนมีแผลเหวอะหวะ แม่รับเคราะห์แทนไปในคราวนั้น
ขากลับบ้าน เจอเกวียนวัว  วัววิ่งตื่น เกวียนแทบจะแล่นทับแม่ทั้งตัว แต่วิ่งหนีพ้นมาได้  คราวนั้นเป็นเรื่องที่จำไม่ลืมเลย

ระหว่างนอนค้างบ้านย่า  ข้าพเจ้านอนกลาง ย่านอนข้างขวา แม่่นอนข้างซ้าย  ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบจับนมแม่  ชอบคลำหัวนมแม่จนติดนิสัย ตื่นขึ้นมาคว้านมแม่มาคลำ แต่แปลกใจว่านมแม่ทำไม่เหี่ยวมาก  ลืมตาขึ้นมาดู ปรากฏว่ากลายเป็นนมย่า   ขณะนั้นย่าอายุ ๖๓ ปีแล้ว 

  



                           (โปรดติดตามตอนต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

พ่อคุณตาเอื่ยม อยู่อินทร์


พ่อคุณตาเอี่ยม อยู่อินทร์

        ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง  คือ เกิดมาได้เห็นหน้าคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ครบทั้ง ๔ คน  ซึ่งคนอีกจำนวนมาก เกิดมาไม่เคยเห็นหน้าปู่ย่าตายาย เพราะท่านตายไปเสียก่อนเกิด  แต่ข้าพเจ้าเกิดมาได้เห็นหน้าปู่ย่าตายายครบทั้ง ๔ คน เพราะท่านค่อนข้างอายุยืน

     ตาชื่อเอื่ยม อยู่อินทร์  เกิดพ.ศ. ๒๓๙๖  ตรงกับปีประสูติของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับเลือกต้ังเป็นผู้ใหญ่บ้าน  ท่านสืบเชื้่อสายยมาจากคนจีน ก๋งท่านเป็นคนจีน มาจากเมืองจีน  ชื่อเจ๊กหมู แซ่เหลา ท่านมีลูกชายชื่อ จีนสร้อย แซ่เหลา ท่านจึงเป็นหลานจีน แต่ผิวดำคล้ำ  เพราะมารดาของท่านเป็นคนไทยผิวดำคล้ำ ท่านมีนิสัยขยันขันแข็งจึงสร้างตัวสร้างตนได้  เป็นคนมีอันจะกินในตำบลตาก้อง  มีคนนับหน้าถือตา   จึงได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๔  บ้านเด่นตาเอี่ยม  คำว่าบ้านเด่นตาเอี่ยม  คือคำเรียกชื่อบ้านตามชื่อของท่านนั้นเอง 
      ท่านได้เอาเงิน ๑ ชั่ง  ๘๐ บาท ไปไถ่ตัวนางสาวอิน แซ่โหงวมาเป็นภรรยา จนมีบุตรด้วยกัน ๙ คน ผู้ชาย ๓ คน  ผู้หญิง ๖ คน  พวกหลานๆ เรียกท่านว่า "พ่อคุณตา"  ตามธรรมเนียมบ้านตาก้อง  เรียกตาว่า พ่อคุณตา  เรียกยายว่า แม่คุณยาย  เรียกสั้นๆว่า  พ่อคุณ แม่คุณ   พ่อคุณตาเอี่ยมมีอายุยืนต่อมาจนแก่ชรา  เคยไปเยี่ยมที่บ้านข้าพเจ้าเสมอๆ  ต่อมา  พ.ศ. ๒๔๗๒  ท่านก็ถึงแก่กาลดับขันธ์ คือ ขันธ์ ๕  แตกดับตามคำพระว่า  "ปัญจักขันธา ภารา หะเว" (ขันธ์ห้านี้เป็นภาระอันหนัก)  จึงต้องถึงกาละแตกดับลงคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม  วิญญาณธาตุ ถึงเวลาแตกดับแยกย้ายไปรวมธาตุเดิมของมัน เจ้าของร่างกายแตกดับ หรือ ดับขันธ์  
     
     ท่านดับขันธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒  อายุได้ ๗๖ ปี  ศพของท่านบรรดาลูกๆได้ทำเมรุจำลองขึ้นเผาข้างบ้าน ในที่นาของท่าน   ซึ่งมีบริเวณกว้างขวาง  ๒๐ ไร่  บรรดาลูกๆ ของ่ท่านปลูกเรือนฝากระดานยอดแหลมคนละหลัง  อยู่เป็นหมู่บ้านในบริเวณเดียวกัน รวม ๕ หลัง คือ บ้านผู้ใหญ่เขียว อยู่อินทร์  บ้านนางไผ่ ใจดี บ้านนางชื่น อยู่อินทร์ บ้านนางเอี่ยม ปั้นอินทร์   ที่แยกออกไปอยู่ไกลออกไป ๒ หลัง  คือ บ้านผู้ใหญ่ไพ่ อยู่อินทร์ และบ้านนางถม ศรีธนทิพย์  ไปซื้อที่ไร่คนจึนอยู่ริมทุ่งมดตะน้อย ไกลออกไปประมาณ ๒ เส้น   ข้าพเจ้ายังจำหน้าคุณตาหรือพ่อคุณตาเอี่ยม  อยู่อินทร์ได้ติดตา  ท่านเป็นคนอ้วนใหญ่  ผิวคล้ำ หน้าตาเป็นคนแก่ใจดี  มีเมตตากรุณาแก่ลูกหลาน


                            
                                      (โปรดติดตามตอนต่อไป)