วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ ) "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน.... พ.ศ.๒๔๘๔ ปีโชคร้าย



พ.ศ.๒๔๘๔ ปีโชคร้าย

     ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นปีโชคร้ายของข้าพเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่ข้าพเจ้าคนเดียว เป็นปีโชคร้ายของครอบครัวด้วย เป็นปีโชคร้ายของประเทศไทยด้วย เพราะวันที่ ๘  ธันวาคม  พ.ศ.๒๔๘๔ ญี่ปุ่นก็บุกยึดประเทศไทย เกิดสงครามฆ่าฟันกันไปทั่วโลก  เป็นปีเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนพลเมืองยากจนกันทั่วหน้า ข้าวปลาอาหารแพง หยูกยา เสื้อผ้าแพง การเงินฝืดเคือง โจรผู้ร้ายชุกชุม ตำบลตาก้องฝนแล้ง  ทำนาไม่ได้ผล จึงอดอยากกัน ต้องซื้อข้าวสารถังละ ๑ บาท ยังน่าประหลาดชาวนาอดข้าวต้องซื้อข้าวสารกินถังละบาท   ครอบครัวชาวนามีรายได้จากการทำนา เมื่อทำนาไม่ได้ข้าว ก็ไม่มีเงิน แม้ข้าวสารถังละบาทก็ยังไม่มีเงินซื้อข้าวสารหุงกิน  ชาวนาเกือบทุกครัวเรือนต้องหุงข้าวปนเผือก ปนมัน ปนขุยไผ่ ต้องต้มข้าวต้มกินกันตายไปวันๆ หนึ่งเหมือนกันทุกครัวเรือนในตำบลตาก้อง  และตำบลใกล้เคียง  ยังเป็นปแห่งความอดอยากปากแห้งของชาวไร่ชาวนา

     ข้าพเจ้าเป็นเด็กวัดในเมือง จึงมีอาหารกินดีอยู่ดีไม่อดอยาก จึงมักอยู่แต่วัด  ไม่ค่อยกลับบ้าน แม้ในวัดหยุดเสาร์- อาทิตย์ หรือหยุดเทอม

     คืนหนึ่งนอนฝันว่า ขุดบึ้ง พบไข่บึ้งเหลืองอร่าม แต่เสียมได้แทงไข่บึ้งขาดกลางเสียแล้ว  ไข่บึ้งนี้ปิ้งกินอร่อยมาก นึกเสียดายไข่บึ้งมาก ตืนขึ้นก็สังหรณ์ว่าเป็นฝันร้าย 

     พอรุ่งเช้าตอนสายพ่อก็มาหาที่วัด มาบอกว่า ขอให้ลาออกจากโรงเรียนไปช่วยพ่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวเถิด  ครอบครัวเรากำลังอดอยากยากจนมาก ตอนนี้เขากำลังรับสมัครครูประชาบาล ออกไปสมัครเป็นครูประชาบาลจะได้เงินเดือน ๑๔ บาท ข้าพเจ้าว่า "พ่อไปลากับครูเอาซิ  ผมไม่ไปหรอก" 

     พ่อจึงไปลาออกจากโรงเรียนแทน  แล้วให้ไปรับใบสุทธิจากครู เอาใบสุทธิไปเป็นหลักฐานสมัครเป็นครูประชาบาล วันนั้นพ่อบอกว่า "ต้ังแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าว วันนี้เป็นวันพระมีขนมมาก ไปเอาขนมมาให้พ่อกินมั่ง" ข้าพเจ้าจึงไปเอาขนมเข่ง ขนมเทียน ห่อผ้าขาวม้ามาให้พ่อกินหลายชิ้น แล้วพ่อก็กลับไป  ข้าพเจ้ามองตามพ่อไปจนลับตา สงสารพ่อมาก จึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนด้วยความเศร้าโศก 

    ข้าพเจ้าจึงไปขอยืมเงินหลวงตาบุญ ๑ บาท เอาไปถ่ายรูปติดใบสุทธิเพราะไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาทเดียว
     ปีนั้นข้าพเจ้าจนจริงๆ บางวันมีเงินอยู่เพียง ๑ สตางค์ ไปเดินในตลาดหิวเต็มที หันไปสั่งข้าวต้ม ๑ ชาม ๆละ ๑ สตางค์  เอามานั่งซดข้าวต้มกิน แต่มันจืดเต็มที  จีงเอาน้ำปลามาราดข้าวต้มพอเค็มๆ เจ็กเจ้าของร้านมันร้องตวาดว่า 
     "ซื้อข้าวต้มตังเดียว  ยังเอาน้ำปลาอีก"
     ข้าพเจ้านั่งก้มหน้ากินจนหมดชาม  เพราะมันหิวเต็มที
     เล่าอย่างนี้คงเห็นสภาพของเด็กวัดคนหนึ่งได้ว่ามันตกต่ำขนาดไหน มันลำเข็ญขนาดไหน
     วันหนึ่งเดินในตลาด เห็นเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นสีชมพูแขวนอยู่ นึกอยากได้จึงถามเจ็กเจ้าของร้านว่าราคาเท่าไร
     "๒๕ ตัง"
     ข้าพเจ้าปล่อยเสื้อ เพราะไม่มีเงินแม้แต่สัก ๒๕ สตางค์    
     "ไม่มีสตางค์"
     "ไม่มีสตางค์แล้วถามซื้อทำไมวะ"
     ข้าพเจ้าจึงรึบเดินหนีเจ้าของร้านหนุ่มลูกเจ็กคนน้ันไปโดยเร็ว 


วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ชีวประวัติ"ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน ชีวิตที่เร่ร่อนระหว่างเรียน



ชีวิตที่เร่ร่อนระหว่างเรียน

เมื่อเรียนอยู่ที่โรงเรียนประชาบาลวัดตาก้อง ใน พ.ศ. ๒๔๘๐ นั้น เรียนชั้น ป.๔ ครูเง็กเซ้ง แซ่อึ้ง เป็นครูประจำชั้น ข้าพเจ้าเป็นเด็กเรียนเก่ง  ปลายปีไปสอบไล่รวมที่วัดพะเนียงแตก นายอารมณ์ รอบคอบ เป็นครูใหญ่ มีภรรยาชื่อครู กำมะหยี่ เป็นน้องสาวครูเกี่ยเม้ง แซ่ลิ้ม  ปีน้ันข้าพเจ้าสอบได้คะแนนยอดเยี่ยมของสนามสอบ  ๒ โรงเรียน  ครูสมพงษ์ ภานุพินทุ ครูใหญ่โรงเรียนวัดตาก้อง จึงไปหาพ่อที่บ้านบอกพ่อว่า

"ลูกชายเรียนหนังสือเก่งสอบไล่ได้ที่ ๑ ของสนามสอบ ขอให้ส่งเรียนชั้นมัธยมเถิด..."

พ่ออนุญาต ครูสมพงษ์ ภานุพินทุ จึงรับเป็นธุระไปฝากเข้าเรียนโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย ซึ่งมีครูผล หงส์สูตร เป็นครูใหญ่ ข้าพเจ้าได้เรียนชั้นมัธยม สมัยนั้นไม่มีใครได้เรียนชั้นมัธยม มีอยู่ ๒ คน คือ นายจรูญ เก้าลิ้ม กับข้าพเจ้าเท่านั้น

พ่อจึงนำไปฝากเป็นลูกศิษย์หลวงพี่แก้ว สิงห์ตาก้อง  วัดห้วยจระเข้  ได้อาศัยเป็นเด็กวัดกินข้าวก้นบาตรพระเรียนหนังสือต่อมา  หลวงพี่แก้ว มีลูกศิษย์ ๓ คน คือ นายสำราญ รอดผล, นายวัน ชัยหา, กับข้าพเจ้า แต่หลวงพี่แก้วรักใคร่ข้าพเจ้ามากเป็นพิเศษ ตกกลางคืนจะเอาไปนอนเตียงเดียวกับท่าน   พอตื่นจึงให้ออกมานอนข้างนอก ๑ คืน สลับกันไปจนตลอดปี ซื้อเสื้อ กางเกงให้ด้วย แต่สิ้นปีท่านก็ลาสึกออกไปแต่งงาน ข้าพเจ้าจึงหมดที่พึ่งอีก

พอขึ้นชั้น ม.๒ ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ พ่อจึงนำไปฝากบ้านคุณปู่ทองอยู่ ภูมิรัตน์  กับย่าเล็ก  อาศัยบ้านท่านอยู่  คุณปู่ทองอยู่เป็นญาติฝ่ายเขยของพ่อ ท่านแต่งงานกับย่าทิม สุนทรศารทูล แต่ย่านั้นตายเสียแล้ว ท่านจึงได้ภรรยาใหม่ ชื่อ ย่าเล็ก ข้าพเจ้าจึงได้อาศัยบ้านท่านอยู่ ๑ ปี เมื่อเรียนชั้น ม. ๒

ต่อมาย่าเล็กมีหลานมาอยู่ด้วย ๒ คน ชื่อ นายประสงค์ กับหญิงชื่อประนอม ย่าจึงบอกให้ข้าพเจ้าหาที่อยู่ใหม่ ปู่จึงเอาข้าพเจ้าไปฝากบ้านลุงโกย ป้าถม กุยะเนตร เสมียนทนายของคุณปู่   แต่คุณลุงโกย ป้าถมเป็นคนยากจนหาเช้ากินค่ำ อยู่กับท่านในพ.ศ. ๒๔๘๓ ได้ ๑ เทอมท่านก็ขอให้ไปหาที่อยู่ใหม่ พ่อจึงเอาไปฝากหลวงตาปาน ทับสายทอง วัดห้วยจระเข้ เป็นศิษย์วัดห้วยจระเข้ หลวงตาปานเป็นอาของเสือผาด ทับสายทอง เสือใหญ่แห่งเมืองนครปฐม หลวงตาปานเคยเป็นทหาร ยศนายสิบโท ออกมาบวชเมื่อแก่ ท่านมีนิสัยดุร้าย ท่านเคยเตะพระตกกุฎิมาแล้ว ท่านจึงมักจะดุด่าข้าพเจ้าแรงๆ ข้าพเจ้าจึงหนึท่านไปอาศัยกับหลวงตาบุญ ไปหาท่านเองบอกกับท่านว่า "หลวงตาผมมาขออาศัยอยู่ด้วย"  ท่านก็รับไว้เป็นลูกศิษย์ ท่านรักใคร่เมตตามาก จึงให้ข้าพเจ้าหาบสาแหรกคาน สำหรับรับแกงจากชาวบ้านเดินตามหลังท่านไปบิณฑบาตไกลถึงตำบลบ่อพลับทุกวัน  ได้กินอาหารหลังจากท่าน จึงทำให้ไปโรงเรียนสายเกือบทุกวัน


ปีพ.ศ.๒๔๘๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๓ นี้ ฝนแล้งติดต่อกันถึง ๓ ปี ทำให้ทำนาไม่ได้เลย ชาวบ้านวัดตาก้อง จึงพากันอดอยากยากจนมาก ครอบครัวของข้าพเจ้าก็ทำนาไม่ได้ข้าวเลย ๓ ปี ทำให้อดอยากมากขนาดที่ชาวบ้านวัดตาก้องต้องหุงข้าวปนเผือก  ปนมัน ปนขุยไผ่ หรือต้มข้าวต้มกินพอประทังอดอยาก เรียกว่าอดอยากปากแห้งกันทั้งตำบล  ในพ.ศ.๒๔๘๑- ๒๔๘๓ รวม ๓ ปี เร่ร่อนไปอาศัยบ้านและวัด ๕ แห่ง  
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ชีวประวัติ "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน โรคภัยไข้เจ็บของเด็กชาวนา



โรคภัยไข้เจ็บของเด็กชาวนา


        เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติของชีวิต  ทุกคนเกิดมาแล้วเป็นมนุษย์จะยากดีมีจน  จะเป็นคนดี คนชั่ว จะเป็นไพร่ต่ำช้าสารเลว จะเป็นผู้ดีมีศักดิ์  จะเป็นโจรร้าย หรือเป็นสมเด็จพระสังฆราชก็ต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องตายเหมือนกันทุกคน  ต้ังแต่เกิดมาจนโต  ข้าพเจ้าเคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาแล้ว  เคยเป็นโรคภัยมาแล้วเกือบจะทุกโรค คือ
        ๑. โรคอีสุกอีไส
        ๒. โรคอีดำอีแดง
        ๓. โรคคางทูม
        ๔. โรคเหา
        ๕. โรคหิด
        ๖. โรคหูด
        ๗. โรคกลาก
        ๘. โรคเกลื้อน
        ๙. โรคสังคัง 
        ๑๐.โรคท้องร่วง
        ๑๑. โรคไข้จับมามาเรีย
        ๑๒. โรคตาแดง
        ๑๓. โรคไซนัส
        ๑๔.โรคอุบัติเหตุ
        ๑๕. ตกจากที่สูง
        ๑๖.จมน้ำเกือบตาย
        ๑๗. ถูกชกต่อยจนตาบวมปิด
        ๑๘. โรคละเมอลุกขึ้นเดินได้ทั้งๆที่ยังหลับตา  พ่อเห็นผิดปกติจึงคว้าตัวไว้ได้ เมื่อเดินข้ามพ่อไปในตอนดึกคืนหนึ่ง  มันฝันว่าเดินไปในอุโมงค์แห่งหนึ่ง มืออุ้มแมวไว้ด้วย 
        จะเล่ารายละเอียดก็จะยึดยาว  น่าเบื่อหน่าย และไม่สำคัญอะไร แต่อยากจะบอกว่าบรรดาโรคภัยที่มี เคยเป็นมาหมด แม้กระทั่งโรคหนองในต้องกินยา ต้องฉีดยา โรคตาต้อกระจก  ต้องผ่าตัด โรคเบาหวาน เป็นหมดทุกอย่าง บางคนบอกว่าเป็นโรคคางทูมจะเป็นหมัน ก็ไม่เห็นเป็นหมัน กลับมีลูกตั้ง ๖ คน ไม่รู้ชีวิตรอดตายมาได้อย่างไร มันหวิดไวจวนตายมาหลายคร้ังหลายคราวเต็มที  แต่ก็อุตส่าห์รอดมาได้จนมีโอกาสมาคุยเรื่องของตัวเองให้คนเขาหมันไส้เล่นเสียอย่างงั้นแหละ

    "ไม่ถึงที่ตายวายชีวาตม์         ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ
       ถ้าถึงที่ตายวายชีวัน             ใครไม่ทันทำร้ายก็ตายเอง"
        
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

(ชีวประวัติ) "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน แม่ป่วยหนักจวนตาย



แม่ป่วยหนักจวนตาย


        เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙  เรียนอยู่ชั้น ป.๓ หลวงพี่ทั้ง ๓ องค์ก็ลาสึกออกไปหมด จึงมาอยู่บ้าน  เดินเรียนระหว่างบ้านกับวัดระยะทาง ๒ กิโลเมตร ในพ.ศ. ๒๔๗๙ น้ัน แม่อายุได้ ๓๘ ปี  ได้ป่วยหนักเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้  กินไม่ได้ ผอมลงทุกวัน จนถึงคืนหนึ่งกำลังนอนอยู่ข้างแม่ในมุ้ง  พ่อก็ปลุกให้ลุกขึ้น พ่อนั่งร้องไห้ บอกว่า

        "กราบตีนแม่เสียเถอะลูกเอ๋ย  แม่กำลังจะสิ้นใจ"
       ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นก้มลงกราบตีนแม่ แล้วพ่อก็บอกเล่าถึงผีสางเทวดาพึมพำไป  ไม่รู้ว่าพูดว่าอะไร
        จนรุ่งเช้าแม่ก็ไม่ตายกลับมีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายป่วยเป็นปกติสุข
        แม่เล่าให้ฟังว่า คืนนั้นแม่ฝันว่าตกลงไปในเหวลึกมาก  ลอยลิ่วหวิวๆไปกับเหวลึก  แต่ได้สติเอามือคว้ารากไม้ข้างเหวไว้ได้  ไม่ตกถึงก้นเหว ตื่นขึ้นมาก็สบายดี  หายป่วย แข็งแรงดี  แม่บอกว่ารากไม้คือยาต้มหม้อสุดท้ายผสมสมุนไพรมีรากไม้มาก กินยาหม้อนี้หลังถูกโรคจนหายป่วย
        ต่อมามีหมอคนหนึ่งบอกว่า ถูกศาลพระภูมิให้โทษ เพราะศาลพระภูมิที่ปลูกอยู่ใต้ต้นพุทราทางทิศใต้นั้น แทงเรือนให้โทษมาก  ให้ย้ายไปเสีย  พ่อจึงย้ายไปปลูกใหม่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน  นับแต่น้ันมาบ้านเรือนก็อยู่กันสุขสบายต่อมา  จะอย่างไรก็ตาม  เป็นความเชื่อของชาวบ้าน ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นสรณะที่พึ่งได้ ก็ต้องยึดเอาผีสางเทวดาเป็นที่พึ่งตามประสาชาวบ้านนอกคอกนาป่าดอนทั่วไป  ไม่มีใครกล้าอวดดี อวดเก่งกว่าผีสางเทวดาพระภูมิเจ้าที่เจ้าทาง
        สมัยนั้นตำบลตาก้องมีหมอดูทางในอยู่คนหนึ่ง ชื่อหมอแก้ว  ผมขาวโพลนทั้งศรีษะ หมอคนนี้ได้ฌานตาทิพย์ สามารถดูเห็นในที่ห่างไกล ลี้ลับ คนป่วยไข้ ของหาย คนหาย แกทายได้ถูกหมด แม่นับถือมาก
        คราวหนึ่ง ทองของป้าเชื่อมหาย ค้นหาไม่พบจึงเที่ยวโทษคนโน้นคนนี้ แม่จึงไปหาหมอแก้วดู หมอแก้วว่าทองเส้นนี้เจ้าของเหน็บไว้ทางทิศใต้ห่อผ้าแดง ไม่หายไปไหน กลับไปค้นดูก็พบตรงที่หมอแก้วบอก
        คราวหนึ่ง ควายออกลูก  แล้วลูกหายไป แม่ควายร้องหาลูกทั้งวัน แม่ไปหาหมอแก้วดู  หมอแก้วบอกว่าลูกควายนอนอยู่ใต้ต้นมะขามทางทิศหรดี  แม่กลับไปค้นหาก็เจอลูกควายนอนอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
        คราวหนึ่ง  นายผิวหลานชายแม่ไปตัดต้นไม้ในป่าเมืองกาญจนบุรี นานตั้งเดือนไม่กลับบ้าน ลือกันว่านายผิวไปตายเสียแล้ว  แม่ไปหาหมอแก้วดู  ท่านบอกว่า ขณะนี้นายผิวกำลังเดินทางกลับบ้าน กลับไปนี่ขอให้หุงข้าวคอยท่าไว้เขากำลังหิว  แม่กลับบ้านบอกให้นางหมด  เมียนายผิวทราบ นางหมดจึงหุงข้าวคอยท่าผัว ตกเย็นนายผิวก็กลับมาถึงบ้าน
        แม่นับถือหมอแก้วมาก ว่าเป็นหมอดูตาทิพย์
        เพราะเหตุนี้  หมอทักว่าอย่างไรแม่ก็เชื่อ รวมทั้งเรื่องศาลพระภูมิให้โทษ
        คราวที่แม่ป่วยหนักนี้เอง  พ่อได้บนบานไว้ว่า  ถ้าแม่หายป่วยจะให้ลูกชายบวชเณรแก้บนให้ ๗ วัน  เมื่อแม่หายป่วย  ข้าพเจ้าจึงได้บวชเณรแก้บนให้ ๗ วัน  ขณะที่กำลังเรียนอยู่ชั้นป. ๓ ตกเพลครูบุญมี เปาปราโมทย์  จะเดินมาบอกว่า
        " เณร เพลแล้วกลับไปฉันข้าวได้แล้ว..."
        ครูบุญมี เปาปราโมทย์  รักข้าพเจ้ามาก  กลางวันจะให้สตางค์ ๑ สตางค์ เอาไปซื้อขนมกิน
        เมื่อบวชเณรนั้น พ่อเอาไปให้อาจารย์กร่าย สมภารวัดตาก้องบวชให้ อาจารย์กร่ายให้ศีล ๑๐ ให้ว่าตาม ก็ว่าตามไปไม่รู้ดอกว่าศีล ๑๐ คืออะไร มีข้อห้ามว่าอย่างไร รู้ว่าห้ามฉันข้าวเย็นเท่านั้น  สมภารกร่ายไม่ได้สอนว่าศีล ๑๐ นั้นมีอะไรบ้าง เป็นการบวชเป็นพิธีเท่านั้นเอง
        อันที่จริงเป็นเด็กวัดอยู่ ๒ ปี  ก็ไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนอะไรเลย เรื่องศีลธรรมจรรยา ระเบียบวินัย พระไม่เคยสอนเลย  เป็นแต่อาศัยข้าวพระกินเท่านั้น  เด็กวัดทุกคนไม่เคยได้รับการศึกษาอบรมทางศาสนาอะไรเลย  คิดถึงความหลังครั้งน้ันแล้วก็เสียดายวันเวลาที่ล่วงไปในการเป็นเด็กวัด  ไม่ได้รับการศึกษาอบรมเรื่องศาสนา เรื่องศีลธรรมจรรยา ระเบียบวินัยอะไรเลย เด็กวัดเป็นเด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยเหมือนแมวหรือหมาวัด  เพียงแต่เลี้ยงข้าวให้อิ่มไปวันๆเท่าน้ัน  ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอะไรเลย เรืองศีล เรืองธรรม เรื่องศาสนา เรื่องบาปบุญคุณโทษ นรก สวรรค์ เกิด ตาย ชาติก่อน ชาติหน้า เราไม่เคยได้รับการศึกษาอบรมอะไรเลย  ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธที่โง่เขลาเบาปัญญามาก ไม่รู้เรื่องบวชพระบวชเณรน้ันคืออะไร   ก็บวชไปตามประเพณีเท่านั้นเอง หลักศีลธรรมบาปบุญคุณโทษนั้นมาเรียนรู้เมื่อโตแล้ว  เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นภายหลังด้วยตัวของตัวเอง ไม่มีพระองค์ใดสั่งสอน 
(โปรดติดตามตอนต่อไป)