วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ตอน....เป็นศึกษาธิกาอำเภอหนุ่มโสด


เป็นศึกษาธิการอำเภอหนุ่มโสด

     วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘  นายเอื้อ วิชัยดิษฐ์  ได้เสนอแต่งตั้งให้นายเทพ ศรีธนทิพย์ ข้าราชการชั้นจัตวาเงินเดือน ๖๕๐ บาท  เป็นศึกษาธิการอำเภอเมืองสมุทรสงคราม  จึงได้มีชีวิตก้าวหน้าในทางราชการอีกขั้นหนึ่ง  สมัยนั้นศึกษาธิการอำเภอยังเป็นข้าราชการชั้นจัตวากับชั้นตรีโดยมาก  นายทิพย์ ฟักเจียม ศึกษาธิการจังหวัดนครปฐมที่แต่งตั้งจากจังหวัดตากมาแทนขุนเชาวน์ปรีชาศึกษากร  ที่ลาออกไป  ท่านมีความเมตตานายเทพ ศรีธนทิพย์มากเป็นพิเศษ  ไปตรวจราชการที่ไหนก็เอาไปด้วย  ไปตรวจที่อำเภอบางเลน อำเภอนครไชยศรี อำเภอสามพรานก็เอาไปด้วย  สมัยนั้้นนายล้วน เคลือบสุวรรณ เป็นศึกษาธิการอำเภอบางเลน, ร.ท.วุธ ชินเครือ เป็นศึกษาธิการอำเภอนครไชยศรี, นายเติม วรรณดิลก เป็นศึกษาธิการอำเภอสามพราน  นายฟื้น มุสิกุล เป็นศึกษาธิการอำเภอเมืองนครปฐม,  
     นายทิพย์ ฟักเจียม ศึกษาธิการจังหวัดได้กรุณาจัดงานเลี้ยงส่งให้ที่โรงเรียนราชินีบูรณะ  สมัยนั้น นางสาวสาคร เทวาหุดี เป็นอาจารย์ใหญ่จัดงานเลี้ยงส่งให้  ในงานมีนายส่ง เหล่าสุนทร  ปลัดจังหวัดเป็นประธาน  สมัยนั้นมีขุนคำนวณวิจิตร (เชย บุนนาค)  เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด   พ.ต,อ. พระราชญาติรักษา (ประกอบ บุนนาค)  เป็นผู้ว่าราชการภาค   นายสง่า ไทยอานนท์  เป็นมหาดไทยภาค  นายขาว โกมลพิศร  เป็นศึกษาธิการภาค  นายสมเกียรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร เป็นผู้ช่วยศึกษาธิการภาค  
     ก่อนหน้านี้  ทางสำนักงานศึกษาธิการเขต โดยท่านสมเกียรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร ได้เรียกตัวนายเทพไปช่วยราชการที่สำนักงานศึกษาธิการภาค ก็น่าแปลกดีที่ได้ทำงานอยู่สำนักงานเขต สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด   และสำนักงานศึกษาธิการภาคตามลำดับ  

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ตอน .......เป็นทหารเกณฑ์แก่





เป็นทหารเกณฑ์แก่

     วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๗  ต้องถูกเรียกเข้าประจำการเป็นพลทหารเกณฑ์ตามกำหนด  วันนั้น ร.ท. จรูญ ชาวนาวิก สัสดีจังหวัดนครปฐม  ได้มาพบบอกว่าจะฝากเข้าเป็นทหารหน่วยเสนารักษ์  จะได้ไม่ต้องฝึกภาคสนาม และฝึกอาวุธหนักเกินไป  ไม่ได้ไปหาท่านดอก ท่านเกิดความเมตตาเอง ที่จริงก่อนถูกเกณฑ์ นายบุญรอด เพื่อนกันได้มาติดต่อว่าจะช่วยไม่ให้ต้องถูกเกณฑ์โดยจะต้องเสียเงินให้สัสดี ๖,๐๐๐ บาท  ข้าพเจ้าสู้ไม่ได้เพราะเงิน ๖,๐๐๐ บาท ต้องใช้เงินเดือนถึง ๑๐ เดือนเต็ม  ได้รับเงินเดือนอยู่ ๖๐๐ บาท  ต้องเก็บเงินเดือน ๑๐ เดือน มันมากเกินไปและไม่มีเงิน ๖,๐๐๐ บาทด้วย  จึงต้องยอมถูกเกณฑ์เข้าประจำการเพียง  ๑๒ เดือน  เป็นยุวชนทหารชั้น ๒ ได้รับผ่อนผัน ๑ ปี  จึงถูกส่งเข้าประจำการที่กองเสนารักษ์  โรงพยาบาลอานันทมหิดล ที่จังหวัดลพบุรี ฝึกภาคสนามอยู่ ๓ เดือน  แล้วส่งมาประจำการที่กองเสนารักษ์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอีก  ๙ เดือน  ต้องกินข้าวแดงแกงกะทะอยู่  ๑๒ เดือน  ได้เบี้ยเลี้ยงเดือนละ ๖๖ บาท  ปลดประจำการเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘  ปีนั้น นายฉิ่ง แจ้งใจ  ผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดได้เสนอเลื่อนเงินเดือนให้ ๒ ขั้น  เป็น  ๖๕๐ บาท  นี่ก็ผู้ใหญ่เมตตาเอ็นดู  ไม่ใช่ได้เงินเดือน  ๒ ขั้น เพราะมีความดีความชอบอะไรดอกอย่าสงสัยเลย 

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ตอน ......เป็นเสมียนสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด


เป็นเสมียนสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด 

     นับตั้งแต่  วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๕  จึงมีตำแหน่งเป็นเสมียนทำงานอยู่ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครปฐม  ต้องขี่จักรยานจากบ้านตาก้อง  เข้าไปทำงานในเมืองทุกวันระยะทาง  ๘ ก.ม.
     ในที่สุดจึงได้ซื้อห้องแถวอยู่ที่ถนนทหารบก  ที่นายเพ่งเล้ง แก้วพิจิตร สร้างเซ้งในราคา  ๓,๐๐๐ บาท  แล้วก็อพยพครอบครัวมีพ่อแม่ พี่สาว น้องสาว เข้าไปอยู่ในเมือง  ต่อมาแม่ก็ขายบ้านขายที่ดิน ๗ ไร่  ให้แก่หลาน  ชื่อ นายกิ่ง  ใจดีในราคา ๑๐,๐๐๐ บาท สมัยนั้น 
     แต่การที่โอนมาเป็นเสมียน  ทำให้พ้นจากหน้าที่ครู  ซึ่งได้รับการผ่อนผันไม่ต้องถูกเกณฑ์เป็นทหาร  ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๘๙ จนถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นเวลา  ๖ ปี
     วันหนึ่งก็ได้รับหมายศาลจังหวัดว่า  บัดนี้ ร.ต.เทพ ทัศนาพลพินิจ สัสดีอำเภอเมืองนครปฐม  ได้ยื่นฟ้องศาลว่า ออกจากครูแล้วไม่คืนใบผ่อนผันการเกณฑ์ทหาร  มีความผิดในคดีอาญาต้องไปศาล  โดยที่สัสดีไม่ได้บอกให้รู้เลยว่าต้องคืนใบผ่อนผันเกณฑ์ทหาร  เพื่อนชื่อนายพยุง ชุ่มบุญชู จึงต้องยื่นประกันตัวระหว่างต้องคดีอาญา
     ในทีสุดศาลก็มีคำสั่งเรียกตัวไปฟังคำพิพากษา  ท่านหัวหน้าศาล จำชื่อท่านไม่ได้  ได้ออกนั่งบัลลังก์เอง  ต้องไปยืนฟังคำพิพากษาเป็นครั้งแรกในชีวิต  พ่อก็ไปเป็นเพื่่อนด้วย หัวหน้าศาลได้พิพากษาโทษว่า 
     มีความผิดฐานหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร  ท่านถามว่ามีคำแก้ตัวว่าอย่างไร
     ตอบท่านว่า ไม่ทราบว่าไม่คืนใบผ่อนผันเกณฑ์ทหารจะมีความผิดในคดีอาญา  ได้รับผ่อนผันมานานถึง ๖ ปีแล้ว  จนลืมว่ากำลังได้รับการผ่อนผันไม่ต้องเกณฑ์ทหาร จึงไม่ได้คืนใบผ่อนผัน  ไม่มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร  หัวหน้าศาลนั่งอยู่สักครูหนึ่ง  เขียนคำพิพากษาแล้วอ่านว่า
     "จำเลยมีความผิดคดีอาญา  ให้พิพากษาโทษปรับเป็นเงิน  ๕๐ บาท  ฐานหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร  โดยไม่มีเจตนา  จึงสมควรได้รับความกรุณาให้ลงโทษแต่เพียงสถานเบา"
     พ่อลุกขึ้นควักเงิน ๕๐ บาท ส่งให้จ่าศาลทันที
     นายเทพ โค้งคำนับหัวหน้าศาลโดยความนอบน้อมขอบพระคุณที่ศาลกรุณา  ตัดสินเพียงให้ปรับ  ถ้าหากลงโทษจำคุกเพียง ๑ เดือน ก็จะต้องออกจากราชการ  จึงต้องบันทึกไว้ว่า  เคยต้องคำพิพากษาศาลให้ปรับ ๕๐ บาท เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕   ชีวิตน้อยๆ นี้ผ่านมาทุกรสชาติ  แต่มีผู้ช่วยไว้ได้ในนาทีสุดท้าย เหมือนมีเทพเจ้าได้คอยอภิบาลคุ้มครองอยู่ตลอดมา   ข้าพเจ้าจึงเชื่อมันว่ามีเทวดารักษา  มีเทพเจ้าคุ้มครอง  ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องเทวดาอย่างบริสุทธิ์ใจ  
(โปรดติดตามต่อไป)

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ตอน.... เป็นผู้ตรวจการประุถมศีกษา


เป็นผู้ตรวจการประถมศึกษา

     
      วันหนึ่ง  นายสำเริง สุนันทกุล ศึกษาธิกาอำเภอกำแพงแสน ได้เรียกไปพบว่าจะแต่งต้ังให้เป็นครูใหญ่โรงเรียนนาถอำนวยวิทย์ โรงเรียนประชาบาล ตำบลห้วยพระ  ซึ่งนายนาถ  มนต์เสวี นายอำเภอจัดต้ังขึ้น   ข้าพเจ้าจึงได้เป็นครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ อายุ ๒๑ ปี  มีครูร่วมโรงเรียน ๓ คน สอนต้ังแต่ ป.๑ ถึง ม. ๔ มีนักเรียนรวม ๗๒ คน  
     เป็นครูใหญ่โรงเรียนนาถอำนวยวิทย์อยู่ ๒ ปีเต็ม   นายพิน กันตะเพ็ง ศึกษาธิกาอำเภอจึงแต่งต้ังให้เป็นผู้ตรวจการประถมศึกษาอำเภอ
     ในสมัยน้ันพลเอก มังกร พรหมโยธี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกระเบียบให้มีตำแหน่งผู้ตรวจการประถมศึกษาอำเภอขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่ง  มีหน้าที่ออกตรวจโรงเรียนประชาบาล ช่วยศึกษาธิการอำเภอ  มีแบบตรวจเป็นเอกสารลับรายงานรต่อศึกษาธิการอำเภอ  ให้มีตำแหน่งนี้อำเภอละ ๔ คน  ผู้เป็นตำแหน่งนี้ต้องมีคุณวุฒิประกาศนียบัตรประโยคครูประถม (ป.ป.)  
     นายเทพ ศรีธนทิพย์ ได้ศึกษาวิชาชุดครู สอบเลือนวิทยฐานะมาโดยตลอดจนสอบได้วุฒิครู ป.ป. ในพ.ศ. ๒๔๙๒  จึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการประถมศึกษาอำเภอ  มีหน้าที่ออกตรวจโรงเรียนประชาบาลทั้่วไปในท้องที่  โดยไม่มีค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ  แต่เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ มีหน้าตา มีอำนาจ ครูประชาบาลเกรงใจ ข้อสำคัญได้ออกท้องที่ทั่วทั้งอำเภอ  ซึ่งมีตำบลอยู่ ๑๓ ตำบล  มีโรงเรียนถึง ๖๙ โรงเรียน จึงได้รู้จักครูทุกโรงเรียน  ซึ่งมีจำนวน ๑๒๒ คน 
    นายเทพ ศรีธนทิพย์ มีดวงชะตาที่มีผู้ใหญ่เมตตารักใคร่ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  นับต้ังแต่ ครูเกี่ยเม้ง แซ่ลิ้ม ต้ังให้เป็นหัวหน้านักเรียน วัดตาก้อง,  ครูสมพงศ์ ภาณุพินทุ ส่งเข้าเรียนมัธยม,  ครูประยูร วีระวงศ์ คอยติดตามสั่งสอน,  ครูรัศมี เลดิกุล ศึกษาธิการอำเภอ รับเป็นครูโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก,  นายสำเริง สุนันทกุล ศึกษาธิการอำเภอ แต่งต้ังให้เป็นครูใหญ่,  นายพิน กันตะเพ็ง ศึกษาธิการอำเภอ แต่งต้ังให้เป็นผู้ตรวจการประถมศึกษาอำเภอ  จะไปไหนก็เอาไปด้วยทุกหนทุกแห่ง 

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ตอน.... บวชเณรแก้บนให้พ่อ


บวชเณรแก้บนให้พ่อ

     เรียนจบโรงเรียนฝึกหัดครูประกาศนียบัตรจังหวัดนครปฐม  ได้รับประกาศนียบัตรครูจังหวัด (ว.) เมื่อพ.ศ.๒๔๘๘  จึงกลับบ้าน พบพ่อป่วยมาก  จึงได้บนบานบอกเล่าเทวดาว่า  ถ้าพ่อหายป่วยจะบวชเณรอุทิศกุศลให้ ๑ เดือน  เมื่อพ่อหายป่วย  พี่ละเอียดรู้จักกับอาจารย์อ้น เจ้าอาวาสวัดเลาเต่า  ซึ่งเป็นน้องชายพระครูพรหมวิสุทธิ  เจ้าอาวาสวัดทุ่งผักกูด  เจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน จึงได้ไปบวชเณรที่วัดทุ่งผักกูด  แล้วไปอยู่วัดเลาเต่า ๑ เดือน  เป็นการบวชเณรคร้ังที่ ๒  ครั้งแรกบวชแก้บนให้แม่ป่วยที่วัดตาก้อง ๑๕ วัน   คร้ังนี้บวชที่วัดเลาเต่า ๑ เดือน 
      แก้บนให้พ่อครบ ๑ เดือนแล้วลาสึก   ไปรายงานตัวรับราชการใช้ทุกการศึกษา ๔ ปี ที่อำเภอกำแพงแสน ท่านจึงแต่งต้ังให้เป็นครูประชาบาลครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๘  เงินเดือน ๒๔ บาท  ประจำอยู่ที่โรงเรียนประชาบาลตำบลห้วยพระ ๕ (วัดทุ่งพิชัย) ซึ่งเป็นวัดตั้งใหม่  รื้อย้ายมาจากวัดเลาเต่า  ได้ไปช่วยขนเครื่องไม้มาปลูกสร้างวัดทุ่งพิชัยด้วย  นับว่าได้บำเพ็ญกุศลสร้างวัดใหม่กับพระครูพรหมวิสุทธิ  แล้วก็ได้เป็นครูโรงเรียนวัดทุ่งพิชัยต่อมา 
     โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนชั่วคราว  ปลูกอยู่กับพื้นดิน หลังคามุงแฝก ไม่มีฝากั้น เปิดโล่งทั้ง ๔ ด้าน  ม้านั่งเรียนทำเป็นม้านั่งปลูกกับพื้นดิน เหมือนโรงเรียนแจงงามที่เคยอยู่คราวก่อนได้เงินเดือน ๑๔ บาท   คราวนี้ได้เงินเดือนตามวุฒิครู ว.  อัตราเงินเดือน ๒๔ บาท  แต่ไม่มีอัตราเงินเดือน ๒๔ บาทบรรจุ  จึงต้องรับเงินเดือน ๒๐ บาท เท่าอัตราวุฒิ ม. ๖ ต่อมาอีกปีหนึ่ง  จีงได้เลื่อนเงินเดือนตามคุุณวุฒิ ครู ว.(จังหวัด) ได้เงินเดือน ๒๔ บาท เป็นครูเมื่อวันที่๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๘ อายุ ๑๙ ปี  สอนชั้น ม. ๔  ต่อมาพระครูพรหมวิสุทธิได้สร้างวัดขึ้น  จึงมีวัดทุ่งพิชัย 

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (เสือ สุนทรศารทูล)



พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม

     พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (เสือ สุนทรศารทูล)  เป็นคนเกิดในวงศ์ราชินีกูลบางช้าง บุตรของพระราชานุวงศ์ (เลี้ยง ณ บางช้าง)  เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหอพระราชมณเฑียร  ได้เป็นจมื่นศรีสรรเพชญ์  แล้วได้เป็นพระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม ผู้สำเร็จราชการเมืองนครไชยศรี   ท่านได้สร้างวัดถวายเป็นพระราชกุศลที่ตำบลบางแก้ว  ริมแม่น้ำนครไชยศรี  ทางทิศตะวันตก ทับหน้าวัดเข้าแม่น้ำนครไชยศรี  แล้วถวายพระราชกุศลตามธรรมเนียมในสมัยน้ัน  พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงพระราชทานนามวัดว่า  วัดสุประดิษฐาราม วัดนี้ใช้เป็นวัดทำพิธีดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา  ในสมัยรัชกาลที่ ๓, รัชกาลที่ ๔, รัชกาลที่ ๕  แต่ทายาทในวงศ์สกุลของพระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (เสือ สุนทรศารทูล)  ก็แตกแยกกันไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง  เพียง ๓ ชั่วคน ก็ไม่มีใครไปทำบุญที่วัดสุประดิษฐาราม ทึ่ต้นตระกูลสร้างไว้  
(โปรดติตตามตอนต่อไป)

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ...ตอน นามสกุล สุนทรศารทูล






นามสกุลพระราชทาน

      เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ออกพระราชบัญญัติขนานนามสกุลขึ้นบังคับให้คนไทยทุกคนมีนามสกุลใช้  บัญญัติให้นายอำเภอรับจดทะเบียนชื่อนามสกุลคนไทยทุกคนตามสมัครใจ  จะใช้นามสกุลวา่อะไรตามใจชอบอย่างหนึ่ง  ให้นายอำเภอตั้งชื่อนามสกุลให้คนไทยที่ไปขอจดทะเบียนนามสกุล ถ้าหากว่าราษฎรไทยไม่รู้ว่าจะตั้งนามสกุลว่าอะไรอย่างหนึ่ง  ทรงพระราชทานชื่อนามสกุลให้แก่พ่อค้า ข้าราชการ เสือป่า ลูกเสือ ที่ขอนามสกุลก็ทรงพระราชทานนามสกุลให้อย่างหนึ่ง  
     ในสมัยนั้นคนในวงศ์สกุลของพระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงครามที่มีอยู่คือ 
     ๑. พระภักดีศรีสุพรรณภูมิ (สุด)  บุตรหลวงสากลพิทักษ์ (หมี)  บุตรพระยาสุพรรณบุรี (เสือ)  เป็นปลัดจังหวัดสุพรรณบุรี  จึงขอพระราชทานนามสกุล พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานนามสกุลว่า  "สุนทรศารทูล"  โดยเอานามบรรดาศักดิ์ สุนทรบุรี  ผสมกับชื่อเดิมว่า  เสือ  แผลงเป็นภาษาสันสกฤตว่า  ศารทูล 
     ๒. นายวงษ์ บุตรหลวงโภชสารี (หรุ่น)  บุตรพระยาสุนทรบุรี (สว่าง)  ขอต้ังนามสกุลว่า "ศรีธนทิพย์"  นายเวกน้องชายนายวงศ์  จึงใช้นามสกุลตามพี่ชายว่า ศรีธนทิพย์
     ๓.  พระประชากรบริรักษ์  (แอร่ม)  เจ้าเมืองสิงห์บุรี  บุตรชายนายเอื่ยม หลานพระยาวิชิตไชยศรีประชากร (สว่าง)  จึงใช้นามสกุลพระราชทานตามพระภักดีศรีสุพรรณภฺูมิ  ปลัดจังหวัดสุพรรณบุรีว่า สุนทรศารทูล 
     ๔. บุตรหลานหลวงโภชสารี (หรุ่น)  สายอื่นจึงใช้นามสกุลพระราชทานว่า สุนทรศารทูล  หมดทุกสายรวมทั้งสายวงศ์ญาติสายอื่นๆ  ก็ใช้นามสกุล สุนทรศารทูล นับแต่พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นต้นมา

     สกุลวงศ์ จึงแยกออกเป็น ๒ สาย  คือ
     ๑. สุนทรศารทูล  นามสกุลพระราชทาน
     ๒. ศรีธนทิพย์  นามสกุลตั้งเอง 
     คนที่ใช้สกุล  ศรีธนทิพย์  จึงมีสายนายวงษ์ และนายเวก บุตรหลวงโภชสารี (หรุ่น)  สกุล ศรีธนทิพย์ จึงสืบสายมาเพียงรายเดียว  คือ นายวงษ์ ไม่มีบุตรชายสืบสกุล 
     นายเวก  มีบุตรชายสืบสกุล คือ 
    ๑. นายโอ้ ศรีธนทิพย์
    ๒. นายแว่ว ศรีธนทิพย์ ไม่มีบุตรสืบสกุล 
     นายโอ้ มีบุตรชายคนเดียว  คือ นายเทพ ศรีธนทิพย์ เป็นผู้สืบสายสกุล 
     วันหนึ่ง เมื่อนายเทพ ศรีธนทิพย์ ได้รับแต่งต้ังเป็นศึกษาธิการอำเภอเมืองสมุทรสงคราม พ่อจึงบอกว่า ให้ไปขออนุญาตใช้นามสกุล สุนทรศารทูล  ร่วมกับ  พระภักดีศรีสุพรรณภูมิ (สุด)  ผู้ขอพระราชทานนามสกุล สุนทรศารทูล จะได้มีวงศ์ญาติร่วมสกุลกว้างขวางออกไป  พ่อสอนว่า 
     วงศ์ญาติของเรา เป็นข้าราชการกัน มีชื่อเสียงอยู่ในเวลาน้ันหลายคน เช่น นายถวิล สุนทรศารทุล  ลูกชายพระภักดีศรีสุพรรณภูมิ  เป็นอธิบดีกรมที่ดิน หลวงอรรถประกาศกิดากร (ประเสริฐ สุนทรศารทูล )  เป็นอัยการภาค ๑   พระประชากรบริรักษ์ (แอร่ม สุนทรศารทูล)  เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม       นามสกุล สุนทรศารทูล มีคนรู้จักกว้างขวาง เป็นข้าราชการไปใช้นามสกุล สุนทรศารทูล จะได้มีญาติรู้จัก    

        
(โปรดติดตามต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ....ตอน เคราะห์กรรมของวงศ์ตระกูล


เคราะห์กรรมของวงศ์ตระกูล

     พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (เสือ สุนทรศารทูล) มีภรรยาหลายคนตามธรรมเนียมขุนนางใหญ่สมัยนั้น   แต่ภรรยาที่มีบุตรสืบสกุลมีอยู่  ๕ คน คือ 
     ๑. คุณหญิงนาค มีบุตรเป็นพระยาสุนทรบุรี(สว่าง)   แล้วเป็นพระยาวิชิตไชยศรีประชากร  เรียกว่า สายเจ้าเมือง 
     ๒. คุณเสน มีบุตรเป็น หลวงโภชสารี (หรุ่น)  ผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการเมือง  เรียกว่า สายผู้ช่วย
     ๓.คุณแสง  มีบุตรชื่อ  หลวงสากลพิทักษ์ (หมี)  ยกกระบัตรเมืองนครไชยศรี เรียกว่า  สายยกกระบัตร
     ๔.คุณอ่อม มีบุตรชื่อ นายจึ่
     ๕.คุณชั้น มีบุตรชื่อ  ขุนอภัยภาดาเขตต์  (ชุบ) นายอำเภอสองพี่น้อง สุพรรณบุรี 

     พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (สว่าง)  ได้เป็นผู้ว่าราชการเมืองนครไชยศรี  ซึ่งสมัยน้ันเรียกว่า "ผู้สำเร็จราชการเมือง"   มีอำนาจมาก สั่งตัดสินความได้  สั่งขัง สั่งเฆี่ยน สั่งปรับไหมคนในปกครองได้  ยกเว้นโทษประหารอย่างเดียว ต้องขอพระบรมราชโองการ  จึงทำให้มีอำนาจมาก บ่าวไพร่จึงผูกโกรธเจ็บแค้น  จึงได้ใส่ความโดยเอาหม้อดินมาปั้นตุ๊กตากอดกัน  แล้วใส่หม้อดินไปฝังไว้ใต้ถุนตำหนัก  ที่ตำบลท่านา ริมแม่น้ำนครไชยศรีแล้วทำเรื่องยื่นฎีกาขึ้นทูลเกล้าฯ  ฟ้องร้องว่า พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม  (สว่าง สุนทรศารทูล)  กับคุณหญิงตลับ  บุตรีพระยาพระยาศรีสยาเทพ (พึ่ง ศรีเพ็ญ) ฝังรูปฝังรอย ทำเสน่ห์พระเจ้าแผ่นดิน  ได้ร่วมกันทำทุจริตฝังรูปฝังรอยพระเจ้าแผ่นดิน  บอกไปเสร็จว่าฝังรูปฝังรอยไว้ใต้ถุนตำหนัก  ทางกระทรวงวังจึงส่งพวกตำรวจไปตรวจ  พบหม้อดินฝังรูปฝังรอยอยู่จริง   จึงได้จับเอาพระยาสุนทรบุรี ฯ (สว่าง สุนทรศารทูล) กับคุณหญิงศรีเพ็ญ มาขังไว้ในพระบรมมหาราชวัง   ถอดจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมือง เมื่อพ.ศ.๒๔๒๕  ตั้งคนอื่นไปเป็นผู้ว่าราชการเมืองแทน
     
     สมัยน้ัน พระยาสุนทรบุรี ฯ (สว่าง) มีบุตรคนหนึ่งได้นำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเป็นเจ้าจอม ชือว่า เจ้าจอมเรือน  มีธิดากับพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า  พระองค์เจ้าหญิงพิศมัยพิมลสัตย์
     ภายหลังเจ้าจอมมารดาเรือนได้พาพระองค์เจ้าหญิงพิศมัยพิมลสัตย์เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ  ทรงอุ้มพระราชธิดาขึ้นนั่งบนพระเพลา ตรัสถามว่า  "สบายดีหรือลูก"  พระองค์เจ้าหญิงทูลว่า "ลูกสบายดี แต่คิดถึงคุณตาคุณยาย"
     พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  จึงมีพระบรมราชโองการสั่งปล่อยพระยาสุนทรบุรีฯ (สว่าง สุนทรศารทูล) และคุณหญิงตลับ  ศรีเพ็ญ ออกจากที่คุมขัง แต่งต้ังให้เป็น  พระยาวิชิตไชยศรีประชากร  จางวางผู้กำกับเมืองนครไชยศรี ก็เท่ากับตำแหน่งที่ปรึกษา ผู้ว่าราชการเมือง 
     ตระกูล สุนทรศารทูล  จึงพากันตกต่ำหมดทั้งตระกูลไม่ได้เลื่อนเป็นเจ้าคุณ คุณพระ พระยากันเลย 
     ต่อมา คุณหญิงเวก สุนทรศารทูล ธิดา พระยาวิชิตไชยศรีประชากร (สว่าง สุนทรศารทูล)   ได้สมรสกับพระยาศรีวงวงศ์  (ม.ร.ว. จิตร สุทัศน์)  มีบุตรชื่อ พระศรีสุทัศน์  (ม.ล.อนุจิตร สุทัศน์)  ได้เป็นเจ้าเมืองนครปฐมสืบสกุลต่อมา  แต่ก็เป็นสายเขย  ไม่ได้สืบสกุลสุนทรศารทูลลงมาโดยตรง 
    ต่อมาคุณเอื่ยม สุนทรศารทูล  บุตรพระยาวิชิตไชยศรีประชากร  เป็นมหาดเล็ก  ก็ไม่ได้เลื่อนยศเหมือนกัน มีบุตรชื่อพระประชากรบริรักษ์ (แอร่ม สุนทรศารทูล) ได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมในชั้นหลาน  นายดำรง สุนทรศารทูล  บุตรพระประชากรบริรักษ์ (แอร่ม สุนทรศารทูล) ได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมในชั้นเหลน ต่อมาได้เป็นอธิบดีกรมการปกครองและปลัดกระทรวงมหาดไทย   ถ้าจะเขียนผังการสืบสกุลวงศ์ก็จะได้ดังนี้ คือ
     ๑.พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (เสือ) ผู้สำเร็จราชการเมืองนครไชยศรี
     ๒. พระยาวิชิตไชยศรีประชากร (สว่าง) จางวางเมืองนครไชยศรี
     ๓. คุณเอื่ยม สุนทรศารทูล มหาดเล็ก
     ๔. พระประชากรบริรักษ์ (แอร่ม สุนทรศารทูล)
     ๕. นายดำรง สุนทรศารทูล  ปลัดกระทรวงมหาดไทย
     สายนี้ขึ้นสูงสุดในชั้นที่ ๕  ที่เรียกว่า สายเจ้าเมือง 


สายยกกระบัตร
     สายที่สอง เรียกว่า  สายยกกระบัตร  มีลำดับวงศ์ลงมาดังนี้ 
     ๑. พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (เสือ สุนทรศารทูล)
     ๒. หลวงสากลพิทักษ์ (หมี สุนทรศารทูล) ยกกระบัตรเมืองนครไชยศรี
     ๓. พระภักดีศรีสุพรรณภูมิ (สุด สุนทรศารทูล)  ปลัดเมืองสุพรรณบุรี 
     ๔. นายถวิล สุนทรศารทูล  ปลัดกระทรวงมหาดไทย
     ๕. นายยนต์ สุนทรศารทูล  ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย 
     สายนี้ขึ้นสูงสุด ในชั้นที่ ๔ 
     


     (โปรดติดตามตอนต่อไป)
    

          

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ...ตอน ครูประยูร วีรวงศ์ไปเยี่ยม


ครูประยูร วีรวงศ์ไปเยี่ยม

     ครูประยูร  วีรวงศ์ ครูสอนประจำชั้น ม.๒ ท่านมีความรักใคร่ห่วงใย เมตตาข้าพเจ้าเป็นพิเศษตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ม. ๒ 
     วันหนึ่ง  ข้าพเจ้าจะสมัครเข้าเรียนเป่าแตรวงของโรงเรียน ครูประยูร วีรวงศ์ รู้เข้าก็มาหา และห้ามว่า 
     " นายเทพ เธอตัวเล็ก รูปร่างผอม อย่าเรียนหัดเป่าแตรเลย  เดี๋ยวจะเป็นวัณโรค"
     ข้าพเจ้าเชื่อฟังครู จึงไม่ได้เรียนหัดเป่าแตรวง

     วันหนึ่ง ครูประยูร พูดว่า "นายเทพ เธอนึกว่าเธอวิ่งเร็วเป็นกระต่ายหรือ ระวังจะแพ้เต่านะ"
     ครูหมายความว่า  ข้าพเจ้าเรียนหนังสือเก่ง  สอบได้เป็นที่ ๑ ของห้อง  จึงตั้งสมญาเรียกข้าพเจ้าว่า  "นายกระต่าย"  ท่านเรียกคำนี้เสมอ ไม่เรียกชื่อ 
     วันหนึ่ง ครูชี้ให้ครูดอกรัก ภูศรีดูแล้วพูดว่า  "เด็กคนนี้เรียนหนังสือเก่งมาก"
     วันที่ไปขอลาออกจากโรงเรียน ท่านจึงพูดจาสั่งสอน 
     "เธออยากออกไปเป็นครูประชาบาลหรือ"
     "เธอออกไปแล้ว โตขึ้นเธอจะเสียใจ"
     "ถ้าเธอคิดได้แล้ว กลับมาเรียนใหม่นะ"
     คำพูดของครู ทำให้ข้าพเจ้าร้องไห้อยู่ในใจ  จึงก้มหน้าไม่มองหน้าครู   มันเศร้าโศกเสียใจอย่างพูดไมออกบอกไม่ถูก
     "ปีนี้เธอสอบได้คะแนน ๘๙ เปอร์เซนต์  ถ้าเรียนต่อจะได้รับยกเว้นค่าเล่าเรียน ไม่ต้องเสียเงินค่าเล่าเรียน"
     ข้าพเจ้าก้มหน้านิ่ง ร้องไห้อยู่ในใจ  น้ำตามันไหลอยู่ในท้อง เดินจากครูประยูร วีรวงศ์มาร้องไห้ตลอดทาง  สวนคนก็หยุดร้องไห้  พอลับตาก็ร้องไห้ครางฮีอๆ มาตลอดทาง  จนถึงบ้านระยะทาง ๘ กิโลเมตร  จึงได้หยุดร้องไห้ เมื่อเห็นหน้าพ่อแม่ พี่น้องมันก็หยุดได้เอง
     ไปเข้าเป็นครูประชาบาลเงินเดือน ๑๔ บาท อยู่ที่โรงเรียนบ้านแจงงาม  เป็นอยู่ไม่นาน วันหนึ่งครูประยูร วีรวงศ์ ก็เดินทางไปเยี่ยมถึงโรงเรียน ท่านขี่จักรยานจากตัวเมือง ไปเป็นระยะทาง ๒๐ กิโลเมตร  เพื่อเยี่ยมเยียนลูกศิษย์ที่ท่านรักใคร่ห่วงใยเป็นพิเศษ
     คำพูดของครูเพียง ๒-๓ ประโยคมันผันชีวิตของข้าพเจ้าได้ เพราะจำได้ฝังใจไม่ลืมเลย  เป็นครูประชาบาลได้ ๒ ปี  จึงได้ลาออกกลับไปเข้าเรียนใหม่ที่โรงเรียนฝึกหัดครูสนามจันทร์  เพราะจำคำครูได้ฝังใจ
     "ถ้าเธอคิดได้แล้วกลับมาเรียนใหม่อีกนะ"
     คำพูดประโยคนี้ของครูประยูร วีรวงศ์  จึงทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจลาออกจากครูประชาบาล  เข้าเรียนใหม่ อย่างไม่นึกอาลัยอาวรณ์อะไรเลย 
     แล้วขายจักรยาน ขายเสื้อกางเกงขายาว ขอเงินพ่อได้ ๕๐ บาท แล้วรวบรวมเงินได้ราว ๑๐๐ บาท  เดินทางไปเข้าเรียนโรงเรียนฝึกหัดครูประกาศนียบัตรจังหวัด ที่สนามจันทร์  เข้ารายงานตัวต่อครูแช สามไชย ครูใหญ่  เป็นนักเรียนใหม่เมื่ออายุ ๑๗ ปี   ที่โรงเรียนฝึกหัดครูสนามจันทร์  เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๖


  (โปรดติดตามต่อไป)

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ....ตอน สอนชั้นป. ๑


สอนชั้น ป. ๑
     
     ชีวิตครูประชาบาล  คือชีวิตของลูกจ้างสอนหนังสือโรงเรียนประชาบาล จัดว่าเป็นคนชั้นต่ำที่สุดของข้าราชการ  ที่ท่านไม่เรียกว่า "ข้าราชการ"  ซึ่่งแปลว่า "ข้าทาสราชการ"  แต่ท่านเรียกว่า "ลูกจ้างประจำ"  ถึงจะมีความรู้สึกต่ำต้อยน้อยหน้าอยู่ในหัวใจ  แต่ก็ยังดีมีเงินเดือนเลี้ยงตัว 
     พ่อน้ันพอใจที่ลูกชายคนเดียวได้เป็นครูประชาบาล  ไม่ต้องทำนาลำบากลำบนและอดอยากยากจนเหมือนพ่อ  พ่อภาคภูมิใจที่ลูกชายเป็นครูประชาบาล พ้นความลำบากยากจนไปได้ระดับหนึ่ง  พ่อไม่หวังอะไรมาก เพราะชีวิตของพ่อคือชีวิตของนักโทษที่พ้นคุกตะรางออกมามีชีวิตอิสระเสรีภาพ  ถึงแม้ว่าจะต้องเป็นชาวนาทำนาตากแดดตากฝนเป็นชีวิตทึ่ยากจน แต่ก็เป็นชีวิตคนไทยที่มีอิสระเสรีภาพ  ไม่ต้องเป็นทางของใคร
     พ่อจึงมองดูชีวิตของลูกชายที่เป็นครูประชาบาลว่าเป็นชีวิตที่ดีกว่าพ่อ  พ่อมักพูดเสมอว่า  มีลูกชายที่เป็นอภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อ  พ่อพอใจแล้ว ไม่ได้คิดไม่ได้หวังอะไรมากกว่านี้   เพราะพ่อรู้ดีว่าชีวิตของต้นตระกูลเป็นถึง พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม ผู้สำเร็จราชการเมืองนครไชยศรี  มีทุนทรัพย์มากถึงขนาดสร้างวัด  สุประดิษฐาราม ถวายเป็นพระราชกุศลไว้วัดหนึ่งที่นครไชยศรี  แต่บัดนี้ท่านก็ล่วงลับดับขันธ์ไปนานแล้ว  จนไม่มีใครรู้จักหน้าค่าชื่อ 


(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) ทรายเม็ดหนึ่ง ...ตอน วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔



วันที่ ๑๒  กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔

     ปีพ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นปีเศร้าโศกในครอบครัวของข้าพเจ้าตลอดศก
     วันที่ ๒๐  เมษายน พ.ศ.๒๔๘๔  ต้องลาออกจากโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย  เมื่ออายุยังไม่ครบ ๑๕ ปี  ไปเป็นครูประชาบาลตำบลห้วยพระ ๔ (บ้านแจงงาม)  เงินเดือนๆละ ๑๔ บาท   ทั้งที่ปีน้ันสอบได้คะแนน ๘๙ %  ได้เรียนฟรี ก็เรียนต่อไปไม่ได้  เพราะพ่อไม่มีเงินค่าเล่าเรียนปีละ  ๒๑. ๕๐ บาท  ยังต้องออกมาทำงานหาเงินเดือนช่วยพ่อแม่  พี่น้อง จำได้ว่าเดินทางร้องไห้ฮือๆ มาตลอดทาง  พอมาถึงบ้านก็ต้องหยุดร้องไห้  เมื่อเห็นหน้าพ่อแม่พี่น้องว่าอยู่ในสถานที่อดอยากยากจนถึงที่สุด  ขนาดไม่มีข้าวสารหุงกิน  จึงต้องไปรับจ้างเป็นครูประชาบาล เอาเงินเดือน ๑๔ บาท มาซื้อข้าวสาร สมัยนั้นข้าวสารถังละ ๑ บาท  ยังจำได้ถึงสภาพของตัวเองในสมัยนั้น 
     วันหนึ่งข้าวสารหมด จึงต้องขี่จักรยานคู่ชีพเข้าเมือง  เมื่อตอนบ่าย  ๔ โมงเย็น   ถึงตลาดซื้อข้าวสาร ๑ ถัง ราคา ๑ บาท  ไว้ท้ายจักรยานขี่กลับบ้าน  แต่มันค่ำลง ระยะทางจากตลาดถึงบ้าน  ๘ กิโลเมตร ต้องผ่านป่าช้าวัดตาก้อง ซึ่งเป็นป่ามืดครึ้ม น่ากลัว  ใจนึกว่าผ่านป่าช้ายามค่ำคืน ผีมันจะรังควาญเอา  จึงได้แวะข้างทางที่ตำบลมาบแค  เข้านอนพักศาลาเดินทางข้างบ้านนายจรูญ ถิ่นมาบแค
     พอสัก ๓ ทุ่ม  พ่อพร้อมด้วยลุงฉาย  ปั้นอินทร์  นายเฉื่อย ปั้นอินทร์ ลูกชายลุงฉาย  จึงเดินทางมาถามหา  พบข้าพเจ้านอนอยู่บนศาลาริมทาง ก็พากันดีใจ นึกว่าจะถูกคนร้ายปล้นฆ่าตายเสียแล้ว ลุงฉาย ปั้นอินทร์ พูดว่า
     "เสียดาย  รูปร่างหน้าตาดีเสียด้วย"
     ลุงฉายนึกว่าข้าพเจ้ากลายเป็นศพนอนอยู่ตามทางเสียแล้ว
     พอถึงวันที่  ๑๒  กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔  คุณย่าฉัตร  ศรีธนทิพย์  ก็ถึงแก่กรรมลง  ญาติมาบอกข่าว แต่พ่อไม่มีเงินทำศพย่าเลย  จึงไปหานายเจริญ  ถิ่นมาบแค  เอาพระขุนแผนบ้านกร่าง ไปให้ ๑ องค์ ขอเงินเขา ๔๐ บาท  เอามาทำศพคุณย่า  สมัยน้ันข้าวเปลือกเกวียนละ  ๒๐  บาท  ทองคำราคาบาทละ  ๒๐  บาท เงิน ๔๐ บาท  จึงมีค่าประมาณ  ๔๐๐๐ บาท ของสมัยนี้ 
     คุณย่าฉัตรเกิดปี พ.ศ. ๒๔๑๒  ปีมะเส็ง  ถึงกาลดับขันธ์ วันที่ ๑๒  กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๔  จึงมีอายุ ๗๒ ปี
     คุณย่าฉัตรมีพี่น้อง  ๔ คน 
     ๑. ย่าทับทิม
     ๒. ย่าผลัด
     ๓. ย่าแก้ว
     คุณย่าฉัตรสมรสกับคุณปู่เวก  ศรีธนทิพย์  คหบดีตำบลศรีมหาโพธิ์ มีบุตร  ๔ คนคือ 
     ๑. นายโอ้  ศรีธนทิพย์
     ๒. นางแม้น ศรีธนทิพย์
     ๓.นางเหรียญ แซ๋ลิ้ม
    ๔. นางส้มเช้า ศรีเพ็ง
     คุณย่าฉัตร ผิวขาว เพราะมีเชื้อสายจีน  แต่ปู่เวก ผิวดำ สูงใหญ่ สืบสกลุขุนนาง ต้นตระกูล เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองนครไชยศรี สืบสายสกุลลงมาคือ 
     ๑. พระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม (เสือ)
     ๒. หลวงโภชสารี (หรุ่น)
     ๓. นายเวก  ศรีธนทิพย์
     ๔. นายโอ้ ศรีธนทิพย์
     พ่อโอ้ ผิวขาวเหมือนย่า รูปร่างหน้าตาคมคาย เสียงดัง  มีสง่าราศี ผิดกับชาวตำบลศรีมหาโพธิ  เป็นคนเฉลียวฉลาด สติปัญญาดี มีปฎิพภาณไหวพริบดี ใครเห็นก็เกรงขาม เป็นที่ยำเกรงของคนทั่วไปในตำบลตาก้อง