วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

(ชีวประวัติ) "ทรายเม็ดหนึ่ง" ตอน แม่ป่วยหนักจวนตาย



แม่ป่วยหนักจวนตาย


        เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙  เรียนอยู่ชั้น ป.๓ หลวงพี่ทั้ง ๓ องค์ก็ลาสึกออกไปหมด จึงมาอยู่บ้าน  เดินเรียนระหว่างบ้านกับวัดระยะทาง ๒ กิโลเมตร ในพ.ศ. ๒๔๗๙ น้ัน แม่อายุได้ ๓๘ ปี  ได้ป่วยหนักเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้  กินไม่ได้ ผอมลงทุกวัน จนถึงคืนหนึ่งกำลังนอนอยู่ข้างแม่ในมุ้ง  พ่อก็ปลุกให้ลุกขึ้น พ่อนั่งร้องไห้ บอกว่า

        "กราบตีนแม่เสียเถอะลูกเอ๋ย  แม่กำลังจะสิ้นใจ"
       ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นก้มลงกราบตีนแม่ แล้วพ่อก็บอกเล่าถึงผีสางเทวดาพึมพำไป  ไม่รู้ว่าพูดว่าอะไร
        จนรุ่งเช้าแม่ก็ไม่ตายกลับมีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายป่วยเป็นปกติสุข
        แม่เล่าให้ฟังว่า คืนนั้นแม่ฝันว่าตกลงไปในเหวลึกมาก  ลอยลิ่วหวิวๆไปกับเหวลึก  แต่ได้สติเอามือคว้ารากไม้ข้างเหวไว้ได้  ไม่ตกถึงก้นเหว ตื่นขึ้นมาก็สบายดี  หายป่วย แข็งแรงดี  แม่บอกว่ารากไม้คือยาต้มหม้อสุดท้ายผสมสมุนไพรมีรากไม้มาก กินยาหม้อนี้หลังถูกโรคจนหายป่วย
        ต่อมามีหมอคนหนึ่งบอกว่า ถูกศาลพระภูมิให้โทษ เพราะศาลพระภูมิที่ปลูกอยู่ใต้ต้นพุทราทางทิศใต้นั้น แทงเรือนให้โทษมาก  ให้ย้ายไปเสีย  พ่อจึงย้ายไปปลูกใหม่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน  นับแต่น้ันมาบ้านเรือนก็อยู่กันสุขสบายต่อมา  จะอย่างไรก็ตาม  เป็นความเชื่อของชาวบ้าน ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นสรณะที่พึ่งได้ ก็ต้องยึดเอาผีสางเทวดาเป็นที่พึ่งตามประสาชาวบ้านนอกคอกนาป่าดอนทั่วไป  ไม่มีใครกล้าอวดดี อวดเก่งกว่าผีสางเทวดาพระภูมิเจ้าที่เจ้าทาง
        สมัยนั้นตำบลตาก้องมีหมอดูทางในอยู่คนหนึ่ง ชื่อหมอแก้ว  ผมขาวโพลนทั้งศรีษะ หมอคนนี้ได้ฌานตาทิพย์ สามารถดูเห็นในที่ห่างไกล ลี้ลับ คนป่วยไข้ ของหาย คนหาย แกทายได้ถูกหมด แม่นับถือมาก
        คราวหนึ่ง ทองของป้าเชื่อมหาย ค้นหาไม่พบจึงเที่ยวโทษคนโน้นคนนี้ แม่จึงไปหาหมอแก้วดู หมอแก้วว่าทองเส้นนี้เจ้าของเหน็บไว้ทางทิศใต้ห่อผ้าแดง ไม่หายไปไหน กลับไปค้นดูก็พบตรงที่หมอแก้วบอก
        คราวหนึ่ง ควายออกลูก  แล้วลูกหายไป แม่ควายร้องหาลูกทั้งวัน แม่ไปหาหมอแก้วดู  หมอแก้วบอกว่าลูกควายนอนอยู่ใต้ต้นมะขามทางทิศหรดี  แม่กลับไปค้นหาก็เจอลูกควายนอนอยู่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
        คราวหนึ่ง  นายผิวหลานชายแม่ไปตัดต้นไม้ในป่าเมืองกาญจนบุรี นานตั้งเดือนไม่กลับบ้าน ลือกันว่านายผิวไปตายเสียแล้ว  แม่ไปหาหมอแก้วดู  ท่านบอกว่า ขณะนี้นายผิวกำลังเดินทางกลับบ้าน กลับไปนี่ขอให้หุงข้าวคอยท่าไว้เขากำลังหิว  แม่กลับบ้านบอกให้นางหมด  เมียนายผิวทราบ นางหมดจึงหุงข้าวคอยท่าผัว ตกเย็นนายผิวก็กลับมาถึงบ้าน
        แม่นับถือหมอแก้วมาก ว่าเป็นหมอดูตาทิพย์
        เพราะเหตุนี้  หมอทักว่าอย่างไรแม่ก็เชื่อ รวมทั้งเรื่องศาลพระภูมิให้โทษ
        คราวที่แม่ป่วยหนักนี้เอง  พ่อได้บนบานไว้ว่า  ถ้าแม่หายป่วยจะให้ลูกชายบวชเณรแก้บนให้ ๗ วัน  เมื่อแม่หายป่วย  ข้าพเจ้าจึงได้บวชเณรแก้บนให้ ๗ วัน  ขณะที่กำลังเรียนอยู่ชั้นป. ๓ ตกเพลครูบุญมี เปาปราโมทย์  จะเดินมาบอกว่า
        " เณร เพลแล้วกลับไปฉันข้าวได้แล้ว..."
        ครูบุญมี เปาปราโมทย์  รักข้าพเจ้ามาก  กลางวันจะให้สตางค์ ๑ สตางค์ เอาไปซื้อขนมกิน
        เมื่อบวชเณรนั้น พ่อเอาไปให้อาจารย์กร่าย สมภารวัดตาก้องบวชให้ อาจารย์กร่ายให้ศีล ๑๐ ให้ว่าตาม ก็ว่าตามไปไม่รู้ดอกว่าศีล ๑๐ คืออะไร มีข้อห้ามว่าอย่างไร รู้ว่าห้ามฉันข้าวเย็นเท่านั้น  สมภารกร่ายไม่ได้สอนว่าศีล ๑๐ นั้นมีอะไรบ้าง เป็นการบวชเป็นพิธีเท่านั้นเอง
        อันที่จริงเป็นเด็กวัดอยู่ ๒ ปี  ก็ไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนอะไรเลย เรื่องศีลธรรมจรรยา ระเบียบวินัย พระไม่เคยสอนเลย  เป็นแต่อาศัยข้าวพระกินเท่านั้น  เด็กวัดทุกคนไม่เคยได้รับการศึกษาอบรมทางศาสนาอะไรเลย  คิดถึงความหลังครั้งน้ันแล้วก็เสียดายวันเวลาที่ล่วงไปในการเป็นเด็กวัด  ไม่ได้รับการศึกษาอบรมเรื่องศาสนา เรื่องศีลธรรมจรรยา ระเบียบวินัยอะไรเลย เด็กวัดเป็นเด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยเหมือนแมวหรือหมาวัด  เพียงแต่เลี้ยงข้าวให้อิ่มไปวันๆเท่าน้ัน  ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอะไรเลย เรืองศีล เรืองธรรม เรื่องศาสนา เรื่องบาปบุญคุณโทษ นรก สวรรค์ เกิด ตาย ชาติก่อน ชาติหน้า เราไม่เคยได้รับการศึกษาอบรมอะไรเลย  ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธที่โง่เขลาเบาปัญญามาก ไม่รู้เรื่องบวชพระบวชเณรน้ันคืออะไร   ก็บวชไปตามประเพณีเท่านั้นเอง หลักศีลธรรมบาปบุญคุณโทษนั้นมาเรียนรู้เมื่อโตแล้ว  เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นภายหลังด้วยตัวของตัวเอง ไม่มีพระองค์ใดสั่งสอน 
(โปรดติดตามตอนต่อไป) 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น